นิกโก้ เมืองมรดกญี่ปุ่น มรดกโลก
เมือง นิกโก้ Nikko ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงโตเกียว 140 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟประมาณ 2 ชั่วโมง เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างเงียบสงบ. แต่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น (และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น ที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก) เพราะ เป็นพื้นที่ของครอบครัวในตระกูลโทกุกาว่า โดยเฉพาะโขกุนอิเอยะสุ โทกุกาว่า ผู้สร้างเมืองเอโดะให้เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ ( โตเกียว ) มาจนถึงปัจจุบันนี้ อัฐฐิของโชกุนท่านนี้ก็ยังบรรจุที่สุสาน (Ieyasu’s graveyard) ภายในบริเวณศาลเจ้าโทโชกุที่ยิ่งใหญ่ สวยงามด้วยผลงานศิลปะที่แปลกตา สลับซับซ้อน
การเดินทางจากโตเกียว ไปเมืองนิกโก้
1.โดยรถไฟสายโทบุ (Tobu Nikko Line) – จากสถานี Tobu Asakusa นั่งไปสถานี Tobu Nikko มีให้เลือก 2 แบบ คือขบวน Rapid ใช้เวลาเดินทาง 130 นาที ค่าโดยสาร 1,320 เยน และขบวน Limited Express ใช้เวลาเดินทาง 110 นาทีค่าโดยสาร 2,620 เยน (ต้องไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Omiya)
2.โดยรถไฟ JR – จากสถานี Tokyo หรือ Ueno นั่งรถไฟ Tohoku Shinkansen ลงที่สถานี Utsunomiya (50 นาที ค่าโดยสาร 4,600 เยน) แล้วต่อสาย JR Nikko ลงสถานี JR Nikko (40 นาที ค่าโดยสาร 740 เยน)(ใช้บัตร JR Rail Pass ได้)
3. โดยรถไฟร่วมระหว่างทาง Tobu กับ JR – จากสถานี Shinjuku หรือ Ikebukuro นั่งขบวน Direct Shinjuku-Nikko Limited Express ผ่านสถานี Omiya ลงที่สถานี Tobu Nikko ใช้เวลาเดินทาง 120 นาที ค่าโดยสาร 3,900 เยน (ใช้บัตร JR Rail Pass ไม่ได้) เพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยให้นักท่องเที่ยว ประหยัดได้บ้าง จึงมีการออกตั๋วโปรโมชั่นให้เลือกหลายแบบ ดังนี้
- 1.ตั๋ว All Nikko Pass
ผู้ใหญ่ 4,400 เยน เด็ก 2,210 เยน ใช้เดินทางไป-กลับจากสถานี Tobu Asakusa ถึงสถานี Tobu Nikko รวมทั้งโดยสารรถไฟของ Tobu และรถบัสในเมืองนิกโก้และบริเวณรอบนอกได้ไม่จำกัด ตั๋วมีอายุ 4 วัน โดยใช้เป็นส่วนลดในการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆได้
- 2.ตั๋ว World Heritage Pass
ผู้ใหญ่ 3,600 เยน เด็ก 1,700 เยน ใช้โดยสารรถไฟไป-กลับจากสถานี Tobu Asakusa ถึงสถานี Tobu Nikko แล้วใช้โดยสารรถไฟของ Tobu ในเมือง nikkoได้ทุกสถานีแต่ใช้โดยสารรถบัสได้ระหว่างสถานี Tobu Nikko กับบริเวณแหล่งมรดกโลก (World Heritage Site) เท่านั้น ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตั๋วมีอายุ 2 วัน(แนะนำแบบนี้) เพราะใช้เข้าชมโบราณสถานในบริเวณ World Heritage Site ได้ (ที่ต้องซื้อในราคา 1,300 เยนนั่นแหละ)
- 3.ตั๋ว Kinugawa Themepark Pass
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยวชมสวนสนุกทั้งสแงแห่งคือ Edo Wonderland และ Tobu Wold Square ใช้เดินทางไป-กลับระหว่างสถานี Tobu Asakusa กับ Nikko รถไฟในเมือง Nikko และรถบัสรับส่งระหว่างสวนสนุกกับสถานีรถไฟเท่านั้น . . . จึงไม่แหมาะกับนักท่องเที่ยวจากแดนไกลอย่างเราๆที่ควรจะไปเที่ยวชมแหล่งมรดกโลกและความงามของธรรมชาติมากกว่า หรือถ้ามีตั๋วทั้งสองแบบข้างต้นแล้วอยากเที่ยวชมสวนสนุกจริงๆ ค่อยซื้อตั๋วเข้าชมเป็นแห่งๆไปดีกว่า ตั๋วทุกแบบหาซื้อได้ที่สำนักงาน Tobu Sightseeing Service Center หรือ Tobu Travel ในสถานีรถไฟ Tobu Asakusa (ริมแม่น้ำซูมิดะ ใกล้ๆวัดอะซาคุสะ) หรือสำนักงาน Tobu Travle ตามสถานีรถไฟใหม่ๆในกรุงโตเกียว
แต่สำหรับผู้ที่มีตั๋ว JR Rail Pass แล้วใช้บัตรนี้ให้คุ้มค่าดีกว่านะครับ ลองบริหารจัดการดู (จ่ายเฉพาะค่ารถเมล์ในเมืองนิกโก้อีกนิดหน่อย) สถานีนิกโก้ เป็นสถานีเล็ก ๆ ไม่ได้สบสนวุ่นวายเหมือนสถานีใหญ่ ๆ ในโตเกียว ที่เพิ่งได้ไปผจฐภัยมาในวันก่อนหน้านี้ ต่างกันราวฟ้ากับดินเลย ออกมารอรถเมย์สาย TOBU ที่หน้าสถานีเพื่อเดินทางต่อไปยัง แหล่งมรดกโลก (World Heritage Site) บริเวณศาลเจ้าโทโชกุ หรือ National Park Nikko นั่นเอง แม้จากเอกสารการท่องเที่ยวต่าง ๆ จะบอกว่าสามารถเดินไปได้ (ประมาณ 25 – 30 นาที) แต่จากที่สังเกตดู ตั้งแต่สถานีรถไฟนิกโก้มาถึงตรงนี้ จะต้องเดินขึ้นเนินและต้องเดินขึ้นมาด้วยซ้ำในช่วงสุดท้าย หากอยากจะเดินจริง ๆ เอาไว้ขากลับค่อยเดินจะสบายกว่ากันเยอะครับ
นิกโก้ Nikko National Park มรดกโลก
รถจอดที่ป้าย Omotesando ที่อยู่บนเชิงเขาปากทางเข้าสู่วัดรินโนจิและศาลเจ้าโทโชกุมีซุ้มขายตั๋วอยู่ทางด้านขวามือ มีให้เลือกหลายแบบทั้งแบบเหมาจ่ายหรือจะเลือกชมเฉพาะแห่งก็ได้ไหน ๆ ก็มาถึงแล้ว ผลจึงเลือกแบบเหมาจ่ายราคา 1,300 เยน ที่สามารถเข้าชมได้ทั้งวัดรินโนจิ ศาลเจ้าโทโชกุ ศาลเจ้าฟูตาราซัน แถมเข้าชมสวนญี่ปุ่นและสถานที่อื่น ๆ ได้อีก 3-4 แห่ง ในบริเวณเดียวกันนี้ ยกเว้นภาพแกะสลักแมวหลับกับสุสานอิเอะยาสุ ที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยตรงทางเข้าชม คุ้มกว่าแยกซื้ออยู่แล้ว โดยทีหางตั๋วแยกส่วนเข้าชมอย่างชัดเจน นิกโก้
แวะชมสวนคลาสสิกสไตล์ญี่ปุ่น Shoyo-en
สวน Shoyo-en (The old Japanese Garden) ตั้งอยู่เยื้องซุ้มขายตั๋วด้านหน้า ตรงข้ามศาลาหลังใหญ่ของวัดรินโนจิ ตกแต่งด้วยหิน เสาหิน บ่อน้ำตามแบบอย่างของสวนญี่ปุ่นในสมัยเอโดะ ออกแบบโดย Issai Sato ภายในบรรยากาศร่มรื่นด้วยมวลแมกไม้ มีต้นซากถระให้เห็นบ้างแต่ไม่มาก ถ้ามาเที่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ก็จะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ส้มและแดงเพลิงดูสวยไปอีกแบบ ค่าเข้าชม World Heritage Site – ผู้ใหญ่ / นักศึกษาระดับอุดมศึกษา ราคา 1,300 เยน – นักเรียนมัธยมปลาย ราคา 900 เยน – ผู้สูงอายุ / เด็กประถม / มัธยมต้น ราคา 600 เยน ใช้สำหรับเข้าชม สวน Shoyo – en , ศาลา Sanbutudo , วัดรินโนจิ , ศาลเจ้าโทโชกุ , ศาลเจ้าฟูตาราชัง , วัดไทยูอิน (Taiyuin Temple) และสุสานอิเอะมิตสุ (Iemitsu graveyard)
สถานที่เที่ยวห้ามพลาด ในนิกโก้
วัดรินโนจิ (Rinnoji Temple) วัดพุทธศาสนาในนิกายเทนได
ศาลาหลังใหญ่ Sanbutsu – do ภายในวัดรินโนจิ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2191 โดย Jikaku 0 daishi ตามพระบัญชาของจักรพรรดินินเมอิ (Ninmei Emperor) เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปไม้แกะสลักปิดทองสูงองค์ละ 8 เมตร. อันเป็นที่เคารพกราบไหว้ของชาวเมืองนิกโก้ 3 องค์คือ เจ้าแม่กวนอิมพันกร (Thousandhanded Kannon) พระอมิตพุทธ (Amida Buddha) และพุทธรูปม้าอยู่กลางพระนลาต (Horse – headed Kannon) โดยองค์ที่ 3 นี้ถือว่าเป็นเทพผู้พิทักษ์สัตว์โลกทั้งมวล
ศาลา Dai Goma – do (Holy Fire Temple) ที่ตั้งอยู่ด้านหลังศาลาใหญ่ เพิ่มบูรณะเสร็จใหม่เมื่อมี พ.ศ.2541 ใช้เป็นหอสวดมนต์สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมมีพระพุทธรูปและรูปหล่อเทพเจ้าประดิษฐานอยู่ภายในจำนวน 30 องค์ ด้านหน้ามีเรื่องรางของขลัง ไว้ให้บูชากลับบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
เจดีย์ห้าชั้นและภาพแกะสลักลิง 3 ตัว ด้านซ้ายประตูโทริอิทางเข้าศาลเจ้าโทโชกุ มีเจดีย์ 5 ชั้น สูง 34.3 เมตร ตั้งอยู่ท่ามกลางเหล่าต้นสนที่สูงเทียมยอดเจดีย์ ทำให้บรรยากาศดูร่มรื่น ลองเข้าไปดูใกล้ ๆ จะเห็นลวดลายภาพแกะสลักสัตว์ใน 12 จักรราศี ตามปฏิทินจีนประดับเอาไว้ด้านละ 3 ราศี เจดีย์นี้สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อราว ๆ ปี พ.ศ. 2193 ก้าวผ่านประตูเข้าไป จะเห็นเสาโคมหิน เหล็กและสำริด ตั้งอยู่บนลานหินเรียงราย เสาโคมพวกนี้พวกไดเมียวสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับดวงวิญญาณของท่านโชกุน ที่ศาลาไม้เก่า ๆ ด้านขวามือนั้นมี รูปแกะสลักลิง 3 ตัว. (Three Monkeya) ในอิริยาบถปิดหู ปิดปาก ปิดตา ซึ่งสื่อความหมายว่า หากเราไม่ฟัง ไม่พูดและไม่ดูสิ่งที่เลวร้ายภยันตรายต่าง ๆ ก็จะไม่มาหาเรา (Seeing no Evil , Spwaking no Evil and Hearing no Evil). ผลงานการแกะสลักของ ฮิดาริ จินโกโร่ (Hidari Jingoro) ซึ่งเป็นหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนานิกายเทนไดรอบ ๆ ศาลาหลังนี้ ยังมีรูปแกะ สลักเจ้าลิงสามตัวนี้ในอิริยาบถอื่น ๆ อีกนักท่องเที่ยวต่างก็มาชี้ชวนกันดูรูปแกะสลักนี้กันไม่ขาดสาย
**ก่อนที่จะเข้าไปภายในศาลเจ้าทุกแห่งจะต้องชำละล้างร่างการและจิตใจให้สะอาดเสียก่อน ด้วยการบ้วนปากและล้างมือให้สะอาดดบ่อน้ำพุที่นี่ดูจะอลังการกว่าทุกแห่งด้วยภาพแกะสลักบนหลังคา ตามศิลปะแบบจีน**
ศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu Shrine)
ประตูโยเมมง (Yomeimon Gate) เป็นประตูใหญ่ทางเข้าศาลเจ้าโทโชกุ อลังการด้วยผลงานศิลปะแกะสลักไม้อันวิจิตรและหลากหลายประดับไว้บนซุ้มประตูแทบทุกระเบียดนิ้ว ทั้งรูปสัตว์ อาทีนกกระเรียน ไก่ฟ้า นกน้ำ เป็ดป่า ช้าง เต่า กระต่าย มังกร เสือ สิงโต เป็นต้น รูปแกะสลักอย่างอื่นก็มี เช่น ต้นไผ่ ต้นสน ต้นโบตั๋น ก้อนเมฆ และรูปเด็ก โดยมีเสาที่รองรับน้ำหนักหลังคาที่ดูหนักอึ่งนี้จำนวน 12 ต้น กำแพงด้านข้างของประตูทั้งสองก็มีผลงานแกะสลักทีวิจิตรอลังการไม่แพ้กัน
ประตูคารามง (Karamon Gate,Chinese Gate) ประตูเล็กถัดจากประโยเมเข้าไปคือประตูคารามง เป็นประชั้นในก่อนถึงอาคารศาลเจ้าโทโชกุภาพแกะสลักและภาพวาดสีขาวสลับบนซุ้มประตูนั้นเป็นศิลปะแบบจีน ที่มีทั้งมังกร ต้นบ๊วย ต้นไผ่ ลายโบตั๋น จีงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ประตูจีน” ประตูบานเล็กๆ ซึ่งมีขนาดเล็กเกินไปที่จะให้นักท่องเที่ยวมุดเข้าไปชมภายในตัวอาคารศาลเจ้าได้ทีละมาก ๆ จึงต้องอ้อมไปเข้าประตูข้างด้านขวาแทน. โดยต้องฝากรองเท้าฝากไว้ในตู้ล็อคเกอร์ ภายในศาลาสำหรับประกอบพิธีและศาลาของศาลเจ้าโทโชกุนั้น ( ศาลาไฮเต็งและศาลาฮนเด็ง ) ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ จึงไม่มีภาพให้ดูครับ ต้องไปพิสูจน์กันเอาเองน่ะ
ภาพแกะสลักแมวหลับ Sleeping Cat (Nemurineko)
ทางด้านขวามือจากประตูใหญ่เป็นทางเข้าชมงานประติมากรรม ภาพแกะสลักแมวหลับ (Sleeping Cat) ที่มีชื่อเสียงดังไม่แพ้ลิงสามตัว ผลงานของศิลปิน ฮิโดริ จินโกโร่ เช่นเดียวกัน หาได้ไม่ยากเพราะอยู่บนชื่อซุ้มประตูทางขึ้นสู่สานท่าน อิเอะยาสุ ซึ่งต้องเสียค่าผ่านประตูเข้าชมเพิ่มเติมอีกคนละ 520 เยน แมวตัวนี้มีสีขาวเทา นอนหลับอยู่ด้วยอาการสงบ ดูน่ารัก เป็นตัวแทนของความสงบร่มเย็นในบ้านเมือง . . . ทางด้านขวาของศาลาหลังนี้มีถังหมักเหล้าสาเก ที่ถือว่าเป็นเครื่องดื่มอันเป็นที่โปรดปรานของเทพเจ้า ที่จะต้องมีอยู่ในทุกศาลเจ้า มากบ้างน้อยบ้างแต่ถังหมักเหล้าสาเกที่นี่มีตรึม
สุสานโชกุนอิเอะยาสุ (IEUASU’S GRAVEYARD)
จากภาพแกะสลักแมวหลับ มีบันไดเดินขึ้นเขาสู่สุสานที่ฝังร่างของโชกุนอิเอะยาสุ โทกุกาว่า ผู้ก่อตั้งเมืองเอโดะให้เป็นเมืองหลวงใหม่ (โตเกียว) จริง ๆ แล้วท่านโชกุนนั้นเกิดในเขตคันไซ ทางตอนกลางของญี่ปุ่น. และสาเหตุที่โชกุนเลือกสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ที่เมืองนิกโก้ ก็เพราะว่าต้องการให้ศาลแห่งนี้ช่วยปกป้องเมืองเอโดะให้แคล้วคลาดจากสิ่งชั่วร้าย (สมัยก่อนคนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าทิศเหนือเป็นทิศที่ไม่ดี ภูตผีปีศาจจะมาทางทิศเหนือ เมืองนิกโก้อยู่ด้านเหนือของเอโดะจึงถูกเลือกให้สร้างศาลเจ้าไว้ที่นี้) . . . ซึ่งทางเดินสลับกับบันไดราว ๆ 200 ขั้นนั้นบางช่วงเป็นเนินลาด บางช่วงสูงชัน ทำเอาเหนื่อยหอบได้เหมือนกัน ผู้ที่สุขภาพไม่ดีไม่ขึ้นไปก็ได้นะครับ ขนาดผมคนหนุ่ม(น้อย) ยังเกือบไม่ไหวหน้ามืด ต้องหยุดพักตั้งหลายครั้ง
ภาพวาดมังกรกำสรวล (Roaring Dragon) ที่ศาลายาคุชิโด (Yakuchi-DO)
กลับออกมาผ่านซุ้มประตูใหญ่โยเมมง ทางด้านขวามือมีศาลาคุวิโด หรือบางทีก็เรียกว่า วัดฮอนจิ (Honji- do Temple) วัดพุทธที่ตั้งอยู่ในเขตศาลเจ้าของศาสนาชินโดจินโตจนแยกไม่ออกต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าชม บนเพดานมีภาพวาดขนาดใหญ่เป็นรูป มังกรร่ำไห้ (Roaring Dragon) ผลงานของช่างฝีมือนามว่า นัมบุ คาตายามะ (Nampu Katayama) ทำไมมังกรจึงร้องไห้ก็เพราะว่าเมื่อเข้าไปยืนใต้ภาพ แล้วปรบมือและสวดมนต์ไปพร้อมกัน มังกรตัวนี้จะร้องโหยหวนออกมาให้ได้ยิน ซึ่งจริง ๆ แล้วเสียงโหยหวนที่ได้ยินนั้นเกิดจากเสียงสะท้อนภายในห้องโถงนั้นเอง จริง ๆ บนภาพวาดนั้นมังกร ก็ไม่มีน้ำตาสักหยดเดียว เพื่อพิสูจน์เสียงก้องที่ว่านี้เมื่อเข้าไปชมภายในศาลา นักบวชจะคอยเคาะไม้ให้เกิดเสียงดัง จะเกิดเสียงก้องอยู่นานก่อนที่เสียงจะค่อย ๆ เลือนหายไป อย่าลืมลองเข้าฟังดูนะครับ (ห้ามถ่ายรูปเช่นกัน ระหว่างทางเดินชมภายในศาลาจะมีตุ๊กตาเทพเจ้าแห่งสงคราม 12 องค์ (Twelve Gods of war) ตั้งเรียงให้ได้ชม ที่เศียรของแต่ละองค์นั้นจะมีรูปสัตว์ที่แตกต่างกันไป 12 ชนิด
ศาลเจ้าฟูตาราชัน (Futarasan Shrine)
กลับออกมาจากบริเวณศาลเจ้าโทโชกุ เดินเลี้ยวขวาไปตามทางเดินที่ร่มรื่นประมาณ 200 เมตร จะถึงประจูโทริอิทางเข้าศาลาเจ้าฟูจาราซัน (Futarasan Jinja) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2162 โดยโชกุนฮิเดะทาดะ (Shogun Hidetada). ศาลเจ้าแห่งนี้ คนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นที่สถิตของเทพ 3 องค์คือ – โอคุนินุชิ โนะ มิกิโตะ , ทาโงริฮิเมะ โนะ มิกิโตะ และอาจิสุคิตากะฮิโกเนะ โนะ มิกิโตะ โดยทั้งสามองค์เป็นเทพในครวบครัวเดียวกัน มีความสำคัญคือเป็นเทพที่นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ญี่ปุ่น หน้าอาคารศาลเจ้าอย่าลือแวะชมโคมปีศาจ (Phantom Lantern) ล้อมกรอบมุงหลังคนไว้อย่างดีด้วยรั้วสีแดง โดยมีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งโคมอันนี้ได้กลายร่างเป็นปีศาจปละล้อมกรอบไว้ไม่ให้เที่ยวไปอาละวาดทำร้ายใครอีก
วัดอิเอะมิตสุ ไทยูอิน (Iemitsu Taiuuin Temple)
จากศาลเจ้าฟูตาราชชัน มีทางเดินเชื่อมไปสู่วัดอิเอะมิตสุ ไทยูอิน ที่อยู่ใหล้กัน สิ่งแรกที่จะได้เห็นคือศาลาหลังใหญ่ 2 หลังที่มีรูปทรงและขนาดเท่ากัน แต่ต่างกันตรงที่
- ศาลาหลังแรกชื่อ Jyogyo-do มีการตกแต่งภายในตามศิลปะแบบญี่ปุ่น (Japanese Style)
- อีกหลังหนึ่งชื่อศาลา Hokki-do นั้นมีการตกแต่งแบบจีน (Chinese Style)
อาคารทั้งสองจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วัดแฝด (Two Temples) ถัดจากศาลานี้จะเป็นประตูนิโอมง (Nio-mon Gate) ซึ่งเป็นประตูทางเข้าสู่สุสานของวัดรินโนจิแห่งเมืองนิกโก้ (Nikko Mausoleum Rinnoji Taiyuin) ถัดจากนี้ด้านขวามือมีบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Fountain) ที่ใช้ได้ทั้งดื่มและบ้วนปากล้างมือ ล้างหน้า ชำระร่างกายและจิตใจให้สะอาด
ก่อนเข้าสู่บริเวณวัด ด้านซ้ายมือมีซุ้มประตูขนานใหญ่ มีความอลังการไม่แพ้ซุ้มประตูทางเข้าศาลเจ้าโทโชกุที่เราเพิ่มไปชมผ่านมา ประตูนี้มีชื่อว่าประตูนิเท็นม่อน (Mitenmon Gate) หรืออีกชื่อหนึ่ง “คามินาริม่อน” (Kaminarimon Gate) ประตูสายฟ้า เหมือนกับชื่อประตูใหญ่ของวัดอะซากุสะในโตเกียวเลย สองข้างประตูนั้นมีรูปปั้นของเทพเจ้าแห่งสายฟ้า (God of Thunder) และเทพเจ้าแห่งสายลม (God of Wind) ตั้งอยู่เหมือนกัน
จากนั้นเดินขึ้นบันไดไปยังมีประตูด้านในอีก คือประตูชาม่อน (Yashamon Gate) ทั้งสีทิศของซุ้มประตูนั้นมีรูปปั้นปีศาจเฝ้าประตูอยู่ 4 ตน แต่ละคนนั้นสีไม่เหมือนกันคือ สีแดง เขียว น้ำเงินและสีขาว ลวดลายที่แกะสลักไว้บนซุ้มนั้น เป็นลายดอกโบตั๋น จึงเรียกชื่อประตูนี้อีกอย่างหนึ่งว่า ประตูดอกโบตั๋น (Peony Gate) เพื่อลดความน่ากลัวลง
และก่อนที่จะถึงศาลาหลังใหญ่นั้น ยังมีอีกหนึ่งประตูเล็กที่สวยไม่แพ้กัน คือประตูคาราม่อน (Karamon Gate) ผ่านตรงนี้เข้าไปจะเป็นศาลา Sanctuary ตกแต่งด้วยสีดำ แดง น้ำเงินและสีทองดูเคร่งชรึม ถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้สีน้ำเงินดำ จนถึงศาลาหลังสุดที่เป็นอาคารหลลักของสุสานแห่งนี้ตกแต่งด้วยสีทองเหลืออร่าม ดูสวยงานและภูมิฐาน สมเป็นที่ประดิษญานพระอนุสาวรีย์ของโชกุนอิเอะมิตสุ โทกุกาว่า (Iemitsy Tokugawa) โชกุนรุ่นที่ 3 หลานชายของโชกุนอิเอะยาสุ โทกุกาว่านั่นเอง ภายในตกแต่งได้อย่างวิจิตรบรรจงเช่นกัน
ก่อนออกมายังมีอีกหนึ่งประตูทางด้านข้างที่สวยงานเช่นกันนั่นคือ ประตูโกกะม่อน (Kokamon Gate) ที่ใช้ศิลปะแบบจีนสมัยราชวงศ์หมิง (Ming Dynasty) ที่มีเสาโคมทำด้ายสำริด สีเขียวสลับทองงตั้งประดับอยู่ทั้งสองข้าง ชมความงานของโบราณสถานมรดกโลกเสร็จแล้ว จะกลับมาขึ้นรถเมล์ตรงป้ายเดินเพื่อลงจากเขา หรือจะเดินไปทางซ้ายมือจากซุ้มขายตั๋วตรงปากทางเข้าวัดรินโนจิก็ได้ เดินลงเข้าไปประมาณ 10 นาทีก็จะถึงสะพานชินเคียว ที่ไม่ควรพลาดชม
สะพานชินเคียว (Shinkyo Sacred Bridge)
สะพานโค้งสีแดง ทอดข้ามแม่น้ำไดยะ (Daiya River) ตรงเชิงเขาปากทางขึ้นสู่แหล่งมรดกโลกที่เพิ่งไปชมนี้มีชื่อว่าสะพานชินเคียว หรือสะพานอสรพิษคู่ มีความยาว 28 เมตร กว้าง 7 เมตร สูงจากระดับน้ำราว 10 เมตร สร้างจากไม้โดยมีเสาหินรองรับน้ำหนัก ได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่สวยงามอีกแห่งของบรรดาสะพานไม้โบราณในญี่ปุ่น ทาด้วยสีแดง หากอยากเดินข้ามสะพานนี้เพื่อเข้าไปชมความงามใกล้ ๆ ต้องเสียค่าเข้าชม (ผู้ใหญ่ 500 เยน เยาวชน 300 เยน เด็ก 200 เยน ). แต่จริง ๆ แล้วยืนชมจากสะพานคอนกรีตสมัยใหม่ที่ทอดขนานกันก็สามารถชมความสวยงามของสะพานชินเคียวได้แบบชัดเจนอยู่แล้วไม่จะเป็นต้องเสียค่าผ่านทางอะไรอีก ใกล้กันนั้นมีป้ายรถเมล์ชินเคียว สามารถรอขึ้นรถเมล์ไปเที่ยวที่อื่น ๆ ต่อ หรือกลับไปยังสถานีรถไฟเจอาร์และสถานีรถไฟโทยุ (ค่าโดยสาร 250 เยน) หากอยากจะเดินชมเมืองจากจุดนี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็จะถึงสถานีรถไฟเจอาร์นิกโก้ เดินสบายครับ เพราะจะเป็นทางลาดค่อย ๆ ลงเนิน อย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกไง
สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆของนิกโก้
เมืองนิกโก้ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีก ที่บริเวณทะเลสาบชูเช็นจิ ทางด้านทิศตะวันตกของเมือง หากมีเวลาควรหาโอกาสไปเที่ยวชม โดยเริ่มต้นนั่งรถเมล์ได้ที่หน้าสถานีรถไฟโทบุ ดังนี้
- ทะเลสาบซูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลราว 1,200 เมตร มองเห็นภูเขานันไต(Nantaisan) ได้อย่างชัดเจน ทิวทัศน์สวยงามในทุกฤดู
- น้ำตกเคง่อน (Kegon Waterfall) ความสูงของสายน้ำตก 99 เมตร น้ำหล่นมาจากหน้าผาของแม่น้ำโอจิริ (Ojiri)
- วัดซูเซ็นจิ (Chuxenji Temple) เป็นที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิมพันกร ที่แกะสลักขึ้นจากไม้สนซีดาร์ ที่มีปลูกขึ้นมากมายในบริเวณนี้
- บ่อนี้พุร้อนซูเซ็นจิ (Chuzenji Hot Springs) มีร้านค้าร้านอาหาร โรงแรมและเรียวกังที่มีบริการบ่อน้ำร้อนออนเซ็น
- ยูโมะโตะออนเซ็น (Yumoto-onsen) โรงแรมแบบญี่ปุ่นให้บริการบ่อน้ำร้อน ท่ามกลางธรรมชาติขุนเขาและทะเลสาบ
การเดินทางไปบริเวณทะเลสาปชูเช็นจิ
– จากป้ายรถเมล์หน้าสถานีรถไฟโทยุ ลงป้าย chuzenji onsen ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 1,100 เยน มีรถออกทุก 20 นาที ถ้านั่งต่อขึ้นไปอีกราวครึ่งชั่วโมงก็จะถึง Yomoto-onsen -หากไปกันหลายคน จ้างเหมารถแท็กซี่ไปจะสะดวกกว่า เพราะสถานที่แต่ละแห่งอยู่ไกลกัน ต้องใช้เวลาเดินจากป้ายรถเมล์ซูเซ็นจิออนเซ็นไปประมาณแห่งละ 20-30 นาที
เมืองจำลอง Tobu World Square
เมืองจำลอง Tobu World Square จำลองสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ทั่วโลกมารวบรวมไว้ที่นี้ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 2,500 เยน เด็ก 1,200 เยน เปิดทุกวัน 09.00 – 17.00 น.
สวนสนุก Edo Wonderland
สวนสนุก Edo Wonderland เมืองนินจา ภายในตกแต่งอาคารและถนนหนทางให้เหมือนสมัยเอโดะ มีการแสดงโชว์นินจา ขบวนพาเหรดย้อนยุคในชุดพื้นเมืองและกิโมโน ค่าเข้าชม Edo Wonderland ผู้ใหญ่ 4,500 เยน เด็ก 2,300 เยน เวลาเปิดทำการ 09.00-16.00 น. หยุดทุกวันพุธ บริการรถรับส่ง มีบริการรถรับส่งฟรี ระหว่างสถานีรถไฟ JR Nikko กับ Edo Wonderland วันละ 5 เที่ยว
การเดินทางไป Tobu World Square และ Edo Wonder Land
-นั่งรถไฟจากสถานี Nikko Tobu ลงที่สถานี Kinukawa Onsen แล้วต่อด้วยรถเมล์ไป Tobu world Square นั่งรถ 5 นาที ไป Edo Wonder land นั่งรถประมาณ 15 นาที หรือนั่งแท็กซี่ ประมาณ 10 นาที